ไปอย่างหมา กลับมาอย่างสิงห์ กับบทพิสูจน์ของลูกผู้ชายตัวจริง "Romelu Lukaku"

บนเส้นทางการเล่าขานสู่ตำนานบทใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น หรือมันอาจจะเป็นเพียงแค่ลมปากที่พัดผ่านไป ในรั้วสแตมฟอร์ด บริดจ์

ผ่านไปถึง 1 ทศวรรษเต็ม ๆ กับการเริ่มสร้างตำนานบทใหม่ในครั้งนี้ของ ลูกากู หากนับตั้งแต่วันนั้น วันที่เชลซีและลูกากูได้พบกันเมื่อปี 2011 ซึ่งทาง สิงโตน้ำเงินคราม ได้ตัดสินใจถีบหัวส่งนักเตะที่พวกเขาอยากให้เป็นตัวตายตัวแทนของ ดร็อกบา ออกไปอย่างไม่ไยดี เหตุการณ์ในครั้งนั้นมันยังคงอยู่ในภาพความทรงจำของแฟนบอล สิงห์บลูส์ หลาย ๆ คน

แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ สโมสรฟุตบอลเชลซี ภายใต้การกุมบังเหียนของโค้ชหนุ่มไฟแรงชาวเยอรมนี นามว่า โธมัส ทูเคิ่ล ได้ออกมาป่าวประกาศด้วยความภาคภูมิใจว่า พวกเขาได้พาตัว โรเมลู ลูกากู กลับคืนมาสู่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ถึงแม้จะมีการตั้งข้อสงสัยมากมายจากหลาย ๆ ฝ่าย เกี่ยวกับค่าตัวจำนวนมหาศาลถึง 115 ล้านยูโร ที่ยอดทีมของกรุงลอนดอนจะต้องควักจ่ายเพื่อดึงเอาตัวศูนย์หน้าที่พวกเขานั้นเคยผลักไสไล่ส่งกลับมายังบ้านเก่าในครั้งนี้ ว่ามันจะมีความคุ้มค่ามากพอหรือไม่ และในท้ายที่สุด เชลซี ก็ตัดสินใจที่จะยอมควักเงินก้อนโตให้กับทาง งูใหญ่ อินเตอร์ มิลาน เพื่อแลกกับการนำเอาตัว ลูกากู กลับมาสู่ถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ อีกครั้ง เพื่อหวังให้นักเตะกลับมากอบกู้สถานการณ์ และนำพาทัพ สิงห์บลูส์ ผงาดขึ้นไปครองแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศให้จงได้

เมื่อเสียงนกหวีดแรกบนสนามดังขึ้น การก้าวเท้าสู่สังเวียนที่เคยตราหน้าว่าเขาเป็นได้แค่ตัวตายตัวแทนของใครบางคนกำลังจะถูกไฟแห่งการพิสูจน์ตัวตนแผดเผาไปจนหมดสิ้น การได้กลับมาลงสนามให้กับ เชลซี ในฐานะกองหน้าตัวจริงอีกครั้งกำลังเริ่มต้นขึ้นด้วยความเฉิดฉาย เมื่อ ลูกากู ได้ใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองด้วยเวลาที่ผ่านไปเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น กับการโชว์สกิลอย่างเหนือชั้น ด้วยสไตล์นักเตะกองหน้าในระดับเวิลด์คลาส จนทำให้แฟนบอลต้องอุทานออกมาดังลั่นพร้อมกันทั้งสนาม หลังจากที่ ลูกากู เคลื่อนที่ไปมาด้วยสภาพร่างกายที่กำยำแข็งแกร่ง การเข้าปะทะกับกองหลังของอาร์เซน่อล ด้วยความมุ่งมั่น นำไปสู่การเข้าทำประตูคือสิ่งที่ ลูกากู ได้แสดงออกมาให้ทุกคนได้เห็น

ในทันทีที่ รีซ เจมส์ เปิดบอลมาจากทางด้านขวาของสนาม วินาทีนั้นเอง ลูกากู จัดการเบียด พาโบล มารี จนกระเด็นกระดอน และสามารถช่วงชิงพื้นที่ภายในกรอบเขตโทษของทีมคู่แข่งมาได้ ก่อนที่สุดท้าย ลูกากู จะจัดการพุ่งเข้าชาร์จลูกเปิดและส่งบอลเข้าไปกองอยู่ที่ตรงก้นตาข่ายได้สำเร็จ เป็นการเปิดตัวได้อย่างยิ่งใหญ่และคลายทุกข้อสงสัยลงไปจนหมด ภายใต้ประจักษ์พยานที่อยู่ภายในสนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม จำนวน 58,729 คน

หลังจากจบเกมที่ เชลซี สามารถจะเอาชนะ อาร์เซน่อล ทีมคู่ปรับร่วมกรุงลอนดอนได้แบบสวยหรู 2-0 ที่นอกจากจะทำให้ต้นสังกัดคว้าสามคะแนนมาครองได้แล้ว เกมดาร์บี้แมตช์แห่งกรุงลอนดอนในครั้งนี้ยังกลายเป็นการเปิดตัวอันแสนจะสวยหรูของ ลูกากู อีกด้วย มันเป็นเหมือนกับฉากเปิดตัวในฝันของกองหน้าทุกคนเลยก็ว่าได้ เมื่อเขาสามารถจะทำประตูแรกของตัวเองในนามนักเตะของ เชลซี ได้สำเร็จ มันเป็นเหมือนการปลดเปลื้องพันธนาการต่าง ๆ ออกไปจนหมดสิ้น จากที่เคยโดนคำดูถูกมาต่าง ๆ นานา ถึงขนาดที่ว่าเขามีแต่พละกำลังและไม่ควรค่าพอต่อการลงเล่นเป็นกองหน้าให้กับลีกฟุตบอลที่มีผู้คนรับชมมากที่สุดในโลกอย่างศึก พรีเมียร์ลีก

ย้อนกลับไป เมื่อครั้งที่ ลูกากู ถูกแฟนบอลตั้งฉายาให้กับเขาว่า "ตู้เย็น" ซึ่งที่จริงแล้ว ฉายานี้เขาได้มาในช่วงปี 2012 สมัยที่เขานั้นถูกทางด้านของสโมสรเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ยืมตัวจาก เชลซี ไปใช้งาน โดยแฟนบอล เวสต์บรอมวิช ได้นำเอาท่วงทำนองเพลงเชียร์ทีมรักของพวกเขามาร้อยเรียงให้เข้ากับชื่อของ ลูกากู จนเกิดเป็นเพลงที่ชื่อว่า 'LUKAKU - BIGGER THAN A FRIDGE' ขึ้นมา 

โดยเนื้อเพลงที่ว่า มีดังนี้

Lukaku, woah, Lukaku, woah, He comes from Stamford Bridge, - He's bigger than a fridge... ซึ่งไอ้เจ้าคำว่า Fridge นี่เอง ที่ทำให้เขาได้รับฉายาว่า "ตู้เย็น" มานับตั้งแต่นั้น

หลังจากที่โดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขายทิ้งไปให้กับ อินเตอร์ มิลาน สโมสรที่ได้ทำให้ ลูกากู เหมือนกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ซึ่งการกลับมาสู่ เชลซี ในครั้งนี้ทำให้เขากลายร่างมาเป็นยอดกองหน้าที่บรรดากองหลังต้องขวัญผวา และไม่เหลือคราบของนักเตะที่ดูอ้วนเทอะทะราวกับ ตู้เย็น อีกต่อไปแล้ว

"อิตาลีได้พาผมขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่ง ผมไม่เคยรู้สึกถึงความแข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน ผมมาถึงอีกระดับแล้ว ทั้งร่างกายและก็จิตใจ" ลูกากู กล่าว หลังจากที่เขาพยายามลดน้ำหนักตัวลงโดยการเปลี่ยนอาหารการกินทุกอย่าง รวมถึงการฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อที่จะพัฒนาทั้งสภาพร่างกายและฝีเท้าขึ้นมา จนทำให้เขากลายเป็นยอดกองหน้าคนหนึ่งของโลก

จากคำดูถูกและเหยียดหยาม ลูกากู เปลี่ยนมันให้กลายเป็นแรงผลักดันเพื่อทำให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง ในวันนี้ ทุกสิ่งเปลี่ยนไป เมื่อ ลูกากู ใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาที เพื่อที่จะลบล้างอดีตที่ผ่านมา 15 เกม ในช่วงระหว่างปี 2011-2014 โดยที่ตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีที่อยู่ภายในรั้ว สแตมฟอร์ด บริดจ์ เขาไม่สามารถจะทำประตูให้กับ เชลซี ได้เลย แต่นับจากนี้เป็นต้นไป เขาได้กลายมาเป็นศูนย์หน้าตัวความหวังของทัพ สิงห์บลูส์ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลังสิ้นสุดเสียงนกหวีดไปนานแล้ว ภายในสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม นั้นยังคงมีเสียงที่ดังกึกก้องมาจากฟากฝั่งของกองเชียร์สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นเสียงของผู้คนกำลังร้องเพลงที่ต่างก็ขับขานชื่อของกองหน้าขวัญใจคนใหม่ของพวกเขาต่อไปอยู่อย่างนั้น ลูกากู สัมผัสถึงความอบอุ่นราวกับการได้กลับมาบ้าน เขาโบกมือทักทายและปรบมือให้กับแฟนบอล ก่อนที่จะเอามือตบลงไปที่ตราสัญลักษณ์ของสโมสรที่อยู่บนเสื้อ ถือเป็นการเริ่มต้นขีดเขียนตำนานบทใหม่ให้กับ เชลซี ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เว็บไซต์ ZumRoad ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานบนเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว