The Peacemaker "Didier Drogba"

Didier Drogba || ดิดิเยร์ ดร็อกบา 

หากเอ่ยถึงชื่อนี้ ใครหลายคนอาจนึกถึง ความดุดันในการทำประตู พละกำลังมหาศาล เทคนิคในการเล่นทั้งสองเท้าและลูกโหม่งอันทรงพลัง ตำนานนักเตะจากกาฬทวีป ยอดดาวยิงผู้สร้างความสำเร็จให้กับเชลซี  แต่อีกแง่มุม เค้าคือ ผู้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ที่ใครหลายคนเคยบอกว่า ฟุตบอลไม่ควรข้องเกี่ยวกับการเมือง

11 มีนาคม 1978 

"ดิดิเยร์ อีฟส์ ดร็อกบา เตบิลี่" ได้ลืมตาดูโลก ที่ประเทศ ไอวอรี่โคสต์ ในเวลาต่อมา เค้าถูกส่งไปอยู่กับลุงที่ฝรั่งเศส พร้อมป้ายแขวนคอพร้อมกับข้อความว่า

ผมชื่อ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ผมจะมาเจอกับ มิเชล โกบา ที่ปารีส

ในวัยเพียง 5 ขวบเท่านั้น ต้องจากพ่อแม่มาอยู่กับลุงวัย 22 ปี ที่ขณะนั้นมีอาชีพเป็นนักบอลดาวรุ่งทีมเล็กๆ ในฝรั่งเศส โดยหวังว่าเงินค่าเหนื่อยของลุงจะเพียงพอทำให้ชีวิตของเด็กอพยพคนนึง มีชีวิตที่ดีกว่าในบ้านเกิด

ทว่าชีวิตในห้องเช่าเล็กๆ ของลุงที่ไม่ได้เป็นนักเตะชื่อดัง จะทำให้ชีวิตเจ้าหนูดีขึ้นได้มากแค่ไหนกัน

ผมยังจำได้ดี ช่วงแรกที่มาอยู่ฝรั่งเศสไม่มีวันไหนที่ผมไม่ร้องไห้เลย ไม่ใช่เพราะว่าผมย้ายมาอาศัยประเทศฝรั่งเศสหรอกนะ แต่เพราะไม่ว่าที่ไหนก็ดูจะยากไปเสียหมด หากต้องอยู่ห่างไกลกับพ่อแม่  ผมคิดถึงพวกท่านมากจริงๆ

3 ปีต่อมา

ลุงไม่สามารถเลี้ยงเจ้าหนูได้ดีตามที่เคยคาดหวัง เลยตัดสินใจส่งดิดิเยร์ ดร็อกบา กลับบ้าน ช่างเป็นเวลาที่แสนมีความสุขของเจ้าหนูน้อยที่ตอนนี้อายุ 8 ปีแล้ว

สถานการณ์เศษฐกิจในไอวอรี่โคสต์ช่างย่ำแย่ 

ในวัย 11 ปี ดิดิเยร์ ดร็อกบา ต้องเดินทางกลับไปอยู่กับลุงที่ฝรั่งเศสอีกครั้ง ครั้งนี้คือเพื่อไปเรียนหนังสือและจะเตะบอลไปด้วยเพื่อหาเลี้ยงชีพ อะไรก็ตามที่จะนำพาเค้าไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น เค้าโตพอแล้วที่จะต้องออกมาต่อสู้

ช่วงเวลานี้ของชีวิตช่างยุ่งเหยิง

ทั้งต้องเรียนหนังสือ เพราะพ่อแม่ต้องการให้เค้ามีความรู้ สลับกับการเตะฟุตบอลที่ลุงของเขามองเห็นแววยอดนักเตะในตัวหลานชาย

หลังจากไต่เต้าจากทีมเยาวชนมาหลายแห่ง ในที่สุดก็เริ่มได้เล่นให้กับทีมที่จะพอจะมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างอย่าง เลอ มองส์ และในปี 2002 นี้เอง ที่เค้าได้รับการเรียกตัวให้ติดทีมชาติไอวอรีโคสต์

ในวัย 24 ปี

การได้ลงเล่นให้กับชาติบ้านเกิดที่เค้ารัก  ต่อหน้าแฟนบอลชาวไอวอรีโคสต์ ที่เค้าไม่รู้มาก่อนเลยว่า มันไม่เหมือนเมื่อ 10 กว่าปีก่อน อีกต่อไปแล้ว บรรยากาศผู้คนที่เคยยิ้มแย้ม แม้ในวันที่เค้าจากไป ถึงเศรษฐกิจจะเลวร้าย แต่ผู้คนยังคงมีรอยยิ้ม ต่างจากตอนนี้ ที่มีแต่ รถถัง และกองกำลังติดอาวุธมากมาย 

เรื่องราวความวุ่นวายนี้ต้องย้อนไปในปี 1999 เกิดการรัฐประหารขึ้นในไอวอรีโคสต์ บ้านเมืองเข้าสู่ยุคเผด็จการ ประเทศไอวอรีโคสต์ได้เข้าสู่ยุคผลัดเปลี่ยน หลังจากที่โลรองต์ บักโบ ชนะการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2000 และนับแต่นั้นประเทศนี้ก็เต็มไปด้วยความไม่สงบในบ้านเมือง

มีการปะทะกันเป็นระยะระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีบักโบ กับกลุ่มผู้สนับสนุน อลาสซาน ออตตารา คู่แข่งสำคัญทางการเมือง ศึกนี้รุนแรงถึงขั้นกองทัพฝรั่งเศส และ องค์การสหประชาชาติ หรือ UN ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง และได้พยายามยื่นมือเข้ามาช่วยหยุดสงครามกลางเมืองครั้งนี้ด้วย 

แต่ก็ไม่เป็นผล ทหารของทั้งสองฝั่งเปิดศึกยิงกันเกือบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่ใด ทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ทุกอย่างไม่มีทีท่าจะสงบลง มีแต่จะโหมแรงขึ้นทุกขณะ นั่นคือสิ่งที่ ดร็อกบาพบเจอ เมื่อตอนที่เขาได้กลับไปบ้านเกิดครั้งแรกในปี 2002 

การเดินเท้าออกนอกประเทศของประชาชน ไม่เหลือหนทางให้เลือก หมู่บ้านเล็กๆ หลายหมู่บ้านเริ่มถูกยึดเป็นที่มั่น และเป็นแหล่งซ่องสุมกองกำลังต่างๆ  

บ้านเกิดของ ดร็อกบา คือ พื้นที่ที่ประสบปัญหาขาดแคลนแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะข้าวของเครื่องใช้ ยารักษาโรค นี่คือความเจ็บปวดในใจของดร็อกบา 

ในขณะที่เส้นทางลูกหนังของ ดร็อกบา เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เขาย้ายจากทีมเล็กๆอย่าง เลอ มองส์ ไปอยู่กับ แก็งก็อง, และมาร์กเซย ถึงตอนนี้ ชื่อเสียงของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการฟุตบอลมากขึ้น 

ปี 2004

จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในเส้นทางนักเตะก็มาถึง เมื่อเขาย้ายไปอยู่กับเชลซี ภายใต้การคุมทีมของโชเซ่ มูรินโญ่ ด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์ ในตอนแรกนั่น ดร็อกบา ยืนกรานว่าเค้าจะขออยู่กับทีมมาร์กเซยต่อไป เพราะเขามีความสุขในการลงเล่นที่เมืองมาร์กเซย

ครอบครัวของเค้ากำลังก่อร่างสร้างตัว ที่นี่ทำให้เค้ามีความสุขเป็นอย่างมาก จากคนที่ต้องย้ายถิ่นฐานมาหลายต่อหลายครั้ง เมื่อเจอที่ๆใช่แล้ว กลับต้องเดินทางอีกครั้ง เพราะสโมสรต้องการขาย เขาเลยจำเป็นที่จะต้องก้าวต่อไป

การเดินทางครั้งนั้น ก็ได้ทำโลกลูกหนังได้รู้จัก ตำนานคนยิงคนใหม่จากไอวอรี่โคสต์ คนนี้ 

- แชมป์ พรีเมียร์ลีก  อังกฤษ 4 สมัย : 2004-05, 2005-06, 2009-10, 2014-15

- แชมป์เอฟเอคัพ  4 สมัย : 2006-07, 2008-09, 2009-10, 2011-12

- แชมป์ลีกคัพ 3 ครั้ง : 2004-05, 2006-07, 2014-15

- แชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก  1 สมัย : 2011-12

- เตอร์กิชซูเปอร์ลีก 1 สมัย : 2012-2013

- เตอร์กิซซูเปอร์คัพ 1 สมัย : 2013

- เตอร์กิซคัพ 1 สมัย : 2013-14

และรางวัลส่วนตัวอีกมากมาย

- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฝรั่งเศส 1 สมัย : 2003-04

- นักฟุตบอลแอฟริกันยอดเยี่ยมแห่งปี 2 สมัย : 2006, 2009

- ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำ ทีมชาติไอวอรีโคสต์  3 สมัย : 2006, 2007, 2012

- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรฟุตบอลเชลซี 1 สมัย : 2010

- รองเท้าทองคำ(พรีเมียร์ลีก) 2 สมัย : 2006-07, 2009-10

- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของซุปเปอร์ลีก ตุรกี 1 สมัย : 2013

นั่นคือเกียรติประวัติในอาชีพการค้าแข้งของดร็อกบา และจุดสูงสุดของการค้าแข้งสำหรับดร็อกบาเกิดขึ้นในปี 2012 วันที่เขาพาเชลซี คว้าแชมป์ยุโรปได้ 

แต่ทว่า ในฐานะชาวไอวอรี่โคสต์ สิ่งที่เขาภูมิใจที่สุด เกิดขึ้นตรงนี้ครับ

ยุคปี 2000

ถือเป็นยุคทองของวงการฟุตบอลไอวอรี่โคสต์ มีนักเตะหนุ่มฝีเท้าดีเกิดขึ้นมากมาย พวกเขาต้องการหลีกหนีความยากจน ในประเทศที่วุ่นวายนี้ เพื่อโอกาสไปเล่นในยุโรปได้ 2 พี่น้องตูเร่ ทั้ง โคโล่ และ ยาย่า, เอ็มมานูเอล เอบูเอ้ และ โซโลมง กาลู จากขุมกำลังที่ดีที่สุดตอนนั้น ทุกอย่างลงตัว

ฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เยอรมันกำลังจะมาถึง นี่จะเป็นครั้งแรกของประเทศอย่างไอวอรี่ โคสต์ กับ มหกรรมกีฬาระดับโลก 8 ตุลาคม 2005 เกมนัดสุดท้ายของฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนแอฟริกา ไอวอรีโคสต์ บุกไปเอาชนะทีมชาติซูดาน 3-1

พวกเขาคว้าตั๋วฟุตบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศได้สำเร็จ หากคิดว่านี่คือจุดสูงสุดเเล้วที่เหล่านักเตะไอวอรี่โคสต์ทำได้

แต่มันมีบางสิ่งมากกว่านั้น

หลังจบเกมผู้สื่อข่าวต่างเข้าไปรอฟังบทสัมภาษณ์ของทีมไอวอรี่ โคสต์ ซีริล โดโมโร กัปตันทีมบอกกับนักข่าวว่า "ขอเชิญทุกท่านมาพบพวกเราที่ห้องแต่งตัว"

เมื่อนักข่าวมาถึงพร้อมหน้า โดโมโรก็ส่งไมโครโฟนให้กับดร็อกบา

จากนั้น ดร็อกบา ก็พูดว่า 

สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ไม่ว่าทุกคนจะอาศัยอยู่ในส่วนไหนของประเทศนี้ ตอนนี้เราทำได้แล้ว วันนี้เราคือชาวไอวอเรี่ยนเหมือนกันทั้งหมด เราได้เข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เราขอถือสัตย์และสัญญาว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้ จะเป็นการเฉลิมฉลองของพวกเราทุกคน 

ดร็อกบา กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

วันนี้เราขออ้อนวอนพวกคุณสักเรื่องหนึ่ง เรายอมคุกเข่าเพื่อขอสิ่งนี้ ให้อภัยกันเถอะ ยกโทษให้กันนะ ได้โปรด

ถ้าไม่มีการรบราฆ่าฟันกัน เราก็คือหนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราอยากให้ทุกคนวางอาวุธลง รอการเลือกตั้ง และจัดระเบียบทุกสิ่งเสียใหม่ เพื่อหวังว่าจะได้เห็นทุกสิ่งที่ดีขึ้นกว่าที่เคย

และหลังจากนั้นเหล่านักเตะไอวอรี่โคสต์ ก็ได้ร้องเพลงชาติพร้อมกันลั่นห้องแต่งตัว ก่อนจะปิดท้ายด้วยบทเพลงพิเศษ

"We want to have fun, so stop firing your guns" 

              (มาสนุกกันดีกว่า หยุดยิงกันเสียที)

การแถลงข่าวอันแสนจะเชื่อมโยงการเมืองกับฟุตบอลในครั้งนี้ ไม่มีเสียงตำหนิจากสื่อมวลชนแขนงใดๆบนโลก แต่กลับมีแต่คำชื่นชม

แม้หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น สงครามในดินแดนบ้านเกิดของดร็อกบา จะยังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ทั่วโลกหันมองเรื่องราวในครั้งนี้  สามปีต่อมา ก่อนการแข่งขัน แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ปี 2008

3 มิถุนายน 2007

เกมรอบคัดเลือกกับ มาดาร์กัสการ์ นัดสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เล่นในบ้าน ปกติเเล้วทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ลงเล่นเกมระดับชาติ พวกเขาจะต้องเเข่งที่สนามในกรุงอบิดจาน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของรัฐบาล

แต่นัดนี้ ดร็อกบาได้เจรจากับสมาพันธ์ฟุตบอลแอฟริกาว่า ให้เลือกแข่งในสถานแข่งขันที่ใหม่บ้าง โดยเป็นเมืองบูอาเก้ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มกบฎเก่า และดร็อกบา ยังรับหน้าที่เป็นตัวแทนเจรจาให้นายบักโบ ต้องมาเยือนในถิ่นของศัตรู ที่จ้องจะเอาชีวิตของเขามาโดยตลอด

และก็เป็นดร็อกบาอีกเช่นเดียวกันที่เจรจากับกลุ่มกบฏของนายอ็อตตาร่า เพื่อรองรับความปลอดภัยครั้งนี้ และวันแข่งขันก็เดินทางมาถึง ผู้นำทั้งสองฝั่งเดินทางมาพบกันเป็นครั้งแรก ณ สังเวียน บูอาเก้ สเตเดี้ยม

ทุกสายตาจ้องไปที่ การจับมือของคน 2 คน ต้นเหตุของการนองเลือด กว่าสิบปีหลายคนลุ้นอย่างหวาดกลัวว่าจะมีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ดร็อกบา ยืนมองภาพนั้นอย่างภาคภูมิใจ และมั่นใจว่าความพยายามของเขามาถึงจุดหมายแล้ว

ก่อนแข่งขัน ทุกคนส่งเสียงร้องเพลงชาติดังกระหึ่ม เสียงเฮลั่นสนั่นสนาม นี่คือการยืนยันว่าสงคราม สิ้นสุดลงเเล้ว ไอวอรี่โคสต์ ถล่ม มาดาร์กัสการ์ ไปด้วยสกอร์ 5 - 0 

เสียงนกหวีดเป่าจบเกมการแข่งขัน เหล่าแฟนบอล กรูกันลงไปในสนาม มีการก่อเหตุจลาจลที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และทั่วสนามก็มีแต่ความยินดี

ผมคว้าแชมป์มากมายในช่วงเวลาที่ค้าแข้ง แต่ไม่มีถ้วยรางวัลไหนเลย ที่ช่วยให้ประเทศของผมสงบสุขได้ แต่ผมภูมิใจกับทีมชาติไอวอรี่โคสต์  พวกเราทำให้บ้านเมืองกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง โดยไม่จำเป็นต้องมีถ้วยแชมป์เลยแม้แต่รายการเดียว

ไม่มีคำพูดใดแทนความรู้สึกนี้ได้ ผมขอเรียกมันว่าความรักก็เเล้วกัน"

นั่นแหละครับ เรื่องราวของดาวยิงที่ไม่เพียงแต่เอาชนะกองหลังหรือคู่แข่งในสนาม จากเด็กน้อยที่ต้องจากบ้านเกิดด้วยความยากแค้นจากพิษเศรษฐกิจ แต่เค้าไม่เคยลืมรอยยิ้มอันสวยงามบนแผ่นดินของตัวเอง เขาคือคนที่ เอาชนะความเกลียดชัง และ พังประตูสงคราม ให้ทลายลงสิ้น 

 

ด้วยความมุ่งมั่น และหัวใจอันกล้าแกร่ง

ผู้สร้างตำนานสันติภาพ ให้กับ ดินแดนแห่งงาช้าง

 

ดิดิเยร์ ดร็อกบา

เว็บไซต์ ZumRoad ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานบนเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว