เกมนัดสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ ปิดฉากไปเรียบร้อยแล้ว ในนัดชิงชนะเลิศ เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา (18 ธ.ค.) โดยเป็นทางทีมชาติอาร์เจนติน่า ที่เหนือกว่าทั้งเกมรุกและเกมรับ คว้าชัยเหนือทีม "ตราไก่" ฝรั่งเศส อดีตแชมป์โลก ปี 2018 ที่รัสเซีย
โดยเกมการแข่งขันในช่วงเวลา 90 นาที สกอร์เสมอ 2 - 2 เหมือนเป็นการเจอกันระหว่าง "เมสซี่ - เอ็มบับเป้" 2 แข้งเทพแห่งเปแอสเช ที่หวดกันไม่ยั้งในเกมนี้
เปิดเกมมา 23 นาที เป็น "ลิโอเนล เมสซี่" เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 7 สมัย ทำประตูแรกให้กับทัพ ฟ้า - ขาว ขึ้นนำไปก่อน 1 - 0 โดยอาร์เจนติน่าได้จุดโทษ จากจังหวะที่ อังเคล ดิ มาเรีย ไปโดน อุสมาน เดมเบเล่ สกัดล้มลงไป "เมสซี่" รับหน้าที่สังหารจุดโทษไม่พลาด หลังจากนั้นในนาทีที่ 36 อาร์เจนติน่าได้ประตูที่ 2 จากอังเคล ดิ มาเรีย จังหวะที่ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ไหลบอลเข้ากราบขวาเข้ากลางให้ อังเคล ดิ มาเรีย ซัดจ่อ ๆ เข้าเต็มข้อ ทำให้อาร์เจนติน่า นำห่าง 2 - 0 จบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้
แต่ทางฝรั่งเศส พลิกเกมมาได้ประตูแรกในช่วงนาทีที่ 80 โดยได้จุดโทษ และเป็น "คีลิยัน เอ็มบับเป้" ทำประตูแรกให้ "ตราไก่" ตามอาร์เจนติน่ามา 1 - 2 และเพียงเวลาไม่ถึง 2 นาทีเท่านั้น "เอ็มบับเป้" คนเดิม ยิงให้ฝรั่งเศสตีเสมออาร์เจนติน่า 2 - 2 เกมสุดเดือด จบ 90 นาทีด้วยสกอร์นี้ ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที
โดยในช่วงนาที่ 110 เป็น "เมสซี่" ที่ทำประตูขึ้นนำอีกครั้งให้ทัพ ฟ้า-ขาว นำเป็น 3 - 2 แต่แล้ว มุนติเอล ไปทำแฮนด์บอลจังหวะบล็อคลูกยิงของเอ็มบัปเป้ และเป็นคนเดิม "เอ็มบัปเป" ยิงเข้าไปเป็นแฮทริกของเขา ในนาทีที่ 118 นำเป็นดาวซัลโว 8 ประตูทันที เสมอในเกม 120 นาที ด้วยสกอร์ 3 - 3 ต้องไปดวลจุดโทษแบบสุดมันส์
และเป็นทางอาร์เจนติน่า ที่แม่นยำกว่าเอาชนะไปได้ด้วยการยิงจุดโทษ 4 - 2 คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ในประวัติศาสตร์ต่อจากปี 1978 และ 1986 และกับวันนี้ที่รอคอยมาถึง 36 ปี