"อาร์เซน่อล ยุคไร้พ่าย" ประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของวงการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก

"อาร์เซน่อล ยุคไร้พ่าย" ประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของวงการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก

หากจะพูดถึงแฟน ๆ กีฬาวันนี้ เชื่อว่า ‘ฟุตบอล’ เป็นหนึ่งในกีฬาโปรดที่ครองใจใครหลายคน และเมืองผู้ดีอย่าง ‘อังกฤษ’ ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ลูกหนังที่รุ่งเรื่องมากแห่งยุโรป ‘พรีเมียร์ลีก’ (Premier League) จึงได้กลายเป็นการแข่งขันฟุตบอลที่ได้สร้างเหล่าบรรดาแฟนบอลของสโมสรต่าง ๆ มากมายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 

และถ้าหากใครจำได้ก็จะรู้ว่า สโมสรที่สร้างสถิติลงเล่นเกมในลีกตลอดทั้งฤดูกาลโดยที่ไม่แพ้ใครเลยและเป็นทีมแรกที่ทำได้ก็คือ ‘อาร์เซน่อล ’ แห่งลอนดอน ในฤดูกาล 2003-04 แน่นอนว่ามันกลายเป็นฤดูกาลประวัติศาสตร์สำคัญของสโมสรที่ยากจะมีใครทำได้

Arsenal-Undefeated-Premier-League-History-01

ข่าว กีฬา วัน นี้ จะพาหมุนย้อนเวลากลับไปในฤดูกาล 2003-04 ซึ่งเป็นซีซั่นแลนด์มาร์คของทีม ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซน่อล หลังครองพรีเมียร์ลีกแบบเบ็ดเสร็จจากการไม่แพ้ให้กับใครเลยตลอดการลงเล่นทั้งหมด 38 เกม กลายเป็นทีมแรกที่ทำได้ในเวทีชิงแชมป์พรีเมียร์ลีก และเป็นครั้งที่ 2 ของวงการลูกหนังอังกฤษ ตั้งแต่ยุคสมัยที่ยังเป็น ‘ลีกฟุตบอลอังกฤษ’ (English Football League-EFL) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1888 ก่อนที่จะรีแบรนด์มาเป็นชื่อพรีเมียร์ลีกอย่างปัจจุบันเมื่อปี 1992

Arsenal-Undefeated-Premier-League-History-02

นับตั้งแต่สโมสร ‘เพรสตัน นอร์ธ เอนด์’ (Preston North End) สามารถทำสถิติเป็นทีมไร้พ่ายตลอด 22 แมตช์ ที่ลงแข่งขันเกมลีกในฤดูกาล 1888-89 เป็นทีมแรกสำเร็จ จนกระทั่งในฤดูกาล 2003-04 อาร์เซน่อล ก็กลายเป็นสโมสรฟุตบอลที่ทำสถิติไร้พ่ายได้เป็นทีมที่ 2 โดยทำสถิติไว้ที่ชนะ 26 เสมอ 12 มีแต้มสะสม 90 แต้ม จากการลงแข่งทั้งหมด 49 เกม 

ซึ่งในช่วงเวลานั้นก็ต้องต่อสู้กับทีมคู่อริอย่าง ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ และ ‘เชลซี’ ที่กำลังฟอร์มทีมพัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลานั้น แน่นอนว่า กีฬา วัน นี้ ทัพปืนใหญ่จากลอนดอนยังคงรักษาการเป็น อาร์เซน่อล ไร้พ่าย ได้เป็นทีมแรกของพรีเมียร์ลีกต่อเนื่องจนถึงฤดูกาลปัจจุบัน (2020-22)

Arsenal-Undefeated-Premier-League-History-03

การได้ชูถ้วยแชมป์เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่กว่าพวกเขาจะผ่านเส้นทางการเป็นทีมไร้พ่ายมาได้ในตอนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก ต้องยอมรับว่าฟอร์มการเล่นของลูกทีม ‘อาร์แซน เวงเกอร์’ กุนซือชาวฝรั่งเศสของ อาร์เซน่อล ยุคไร้พ่าย นั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมทั้งเรื่องของเทคนิค แนวทางการเล่น 

รวมไปถึงความมุ่งมั่นที่มีเกินร้อยของนักเตะ ตลอดจนเป็นความเฟื่องฟูของทีมที่อุดมไปด้วยผู้เล่นชั้นยอดที่ช่วยสอดประสานการเล่นได้อย่างลงตัว อย่างไรก็ตามในซีซั่นดังกล่าว มีการเปลี่ยนแปลงเกินขึ้นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น อาร์เซน่อลเองเพิ่งเสียแชมป์ในปีก่อนหน้า 

ต่อมาก็เสีย เดวิด ซีแมน อดีตผู้รักษาประตูมือทอง แต่ก็ได้ เยนห์ เลย์มัน มาร่วมทีมก่อนเปิดฤดูกาล พร้อมทั้งได้ เชส ฟาเบรกาส ที่ได้ตัวมาแบบฟรี ๆ และ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ กองหน้าชาวดัตช์ จากทีมเฟเยนูร์ด มาเสริมทัพพร้อมสร้างอนาคต พวกเขาเปิดฉากฤดูกาล 2003-04 ด้วยการเอาชนะ 4 เกมรวดพิชิตจ่าฝูง

ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่พาดหัว ข่าวกีฬา รายงานว่า ‘เสี่ยหมี’ โรมัน อับราโมวิช นักธุรกิจชาวรัสเซียได้เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร ‘เชลซี’ จนเกิดเป็นกระแสการลงทุนจากต่างชาติที่อาจจะเข้ามาสร้างความระส่ำระสายต่อสถานะของทีมชั้นนำของทั้งอาร์เซน่อลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เวงเกอร์ ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่ลูกทีมของเขาจะเล่นได้ดีอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะกับการที่ต้องสู้กับทีมที่ใช้เงินเพิ่มขึ้นเท่าตัวทุกปีอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด และยังต้องมาสู้กับเชลซีที่กำลังจะกลายเป็นทีมที่อัดแน่นไปด้วยเม็ดเงินมหาศาล

Arsenal-Undefeated-Premier-League-History-04

ช่วงยุคนั้นคือช่วงเวลาแห่งคู่ปรับที่ต่างอยู่ในช่วงเฟื่องฟูด้วยกันทั้งคู่ ทั้งอาร์เซน่อลและแมนฯ ยูไนเต็ด ต่างก็มีขุมกำลังที่แข็งแกร่ง อาร์เซน่อล ผู้เล่น นำโดย เธียร์รี่ อองรี และแพทริค วิเอร่า สองดาวเตะชาวฝรั่งเศสกำลังหลักของทีม พร้อมแนวรุกอย่างเฟรดดี้ ลุงเบิร์ก และโรแบร์ ปิแรส ขณะที่ปีศาจแดงก็อัดแน่นไปด้วยนักเตะฝีเท้าดีเต็มพื้นที่ 

ไม่ว่าจะเป็น ปราการหลังอย่าง ริโอ เฟอร์ดินาน และแกรี่ เนวิลล์ หรือจะเป็นมิดฟิลด์จอมดุดันอย่าง รอย คีน พ่วงด้วยแนวรุกที่สุดแสนอันตรายยกแผง ทั้ง คริสเตียโน โรนัลโด้ ไรอัน กิ๊กส์ และรุด ฟาน นิสเตลรอย

แน่นอนว่า บรรยากาศในเกมมาคุดุเดือดตามสไตล์ของเกมที่คู่อริมาเจอกัน จนกระทั่งเกิดเหตุพลิกผันในช่วงท้ายเกม เมื่อวิเอร่า เข้าปะทะ ฟาน นิสเตลรอย จนผู้ตัดสินใจเกมดังกล่าวตัดสินใจแจกใบแดงและมันก็ทำให้วิเอร่าโดนไล่ออกจากสนาม เป็นอาร์เซน่อลที่เหลือผู้เล่น 10 คนทันที หนำซ้ำยังมาเสียท่าอีกครั้งในช่วงนาทีสุดท้าย เมื่อ มาร์ติน คีโอว์น เสียฟาวล์ในกรอบเขตโทษจากจังหวะกระแทกกับดิเอโก้ ฟอร์ลัน ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดได้จุดโทษ 

แต่อย่างไรก็ตาม รุด ฟาน นิสเตลรอย ผู้สังหารจุดโทษดันซัดบอลไปชนคาน และหลังวินาทีนั้นก็ได้เกิดภาพจำในวงการลูกหนังอังกฤษมาจนถึงวันนี้ เมื่อ มาร์ติน คีโอว์น และผู้เล่นของอาร์เซน่อลอีกหลายคน วิ่งเข้าไปกระโดดทำท่าเยอะเย้ย ฟาน นิสเตลรอย ทั้งยังเข้าไปล้อมและผลักดาวเตะชาวดัตช์รายนี้กันยกใหญ่ กลายเป็นความวุ่นวายหลังจบเกม และนั้นก็ทำให้นักเตะจากอาร์เซน่อลต้องเสียค่าปรับและโดนแบนไปหลายนัด

Arsenal-Undefeated-Premier-League-History-05

หลังเกมนัดนั้น เวนเกอร์ ยังไม่เสียกำลังใจ พร้อมนำลูกทีมของเขาเดินหน้าต่อด้วยการไม่แพ้ใครเลย 10 นัดรวดต่อจากนั้น ลากยากมาถึงช่วงกลางๆ ของฤดูกาล อาร์เซน่อลก็ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่ง แม้จะมีช่วงสิ้นปี 2003 ที่หล่นไปอยู่อันดับ 2 

แต่ชัยชนะเหนือ มิดเดิ้ลสโบร์ช์ ในเกมนัดที่ 21 ก็ส่งให้พวกเขากลับมาผงาดเป็นจ่าฝูงได้สำเร็จอีกครั้ง โดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่า นับจากนั้นอาร์เซน่อลจะไม่ตกจากบัลลังก์อีกเลย อาร์เซน่อลในตอนนั้นได้รับการยอมรับจากสื่อ ข่าว กีฬา ว่าเป็นทีมที่ยิ่งเล่นยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งเล่นยิ่งมหัศจรรย์ 

ทัพปืนใหญ่ได้การันตีแชมป์พรีเมียร์ลีกก่อนจบฤดูกาล 4 นัด และจบซีซั่นด้วย 90 คะแนน จากผลงานชนะ 26 เสมอ 12 ทิ้งห่างรองแชมป์อย่างเชลซีอยู่ถึง 11 คะแนน และก็เป็นดาวเตะอย่าง เทียรี่ อองรี ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้รับรางวัลรองเท้าทองคำจากผลงานการยิงไปถึง 30 ประตู พ่วงด้วยรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี เช่นเดียวกับ เวนเกอร์ ที่ได้รางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีด้วย

อาร์เซน่อลในยุคไร้พ่ายกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของวงการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ที่ก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีข้างหน้าจะมีทีมไหนสามารถคว้าแชมป์ไร้พ่ายได้เหมือนอย่างพวกเขาอีกหรือไม่

เว็บไซต์ ZumRoad ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานบนเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว