แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สร้างสถิติใหม่ด้วยการเอาชนะเชลซีในแมตช์ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น โดยเจ้าบ้านขึ้นนำไปก่อนถึงสองประตู จากผลงานของบรูโน่ แฟร์นันด์ส และกาเซมีโร่ ในช่วงที่โรเบิร์ต ซานเชซ ผู้รักษาประตูของเชลซีต้องถูกไล่ออกจากสนามด้วยใบแดง ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเกมนี้
แต่สถานการณ์ของเจ้าบ้าน กลับยิ่งยากลำบากขึ้น เมื่อกาเซมีโร่ที่มีบทบาทสำคัญในแดนกลาง เกิดโดนใบเหลืองที่สอง ส่งผลให้ต้องออกจากสนามไป ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดเหลือผู้เล่นเพียงสิบคน
ในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของการแข่งขัน เชลซีสามารถตีไข่แตกได้โดยเทรโวห์ ชาโลบาห์ แต่แม้จะถูกกดดันจากทีมเยือน แมนฯ ยูไนเต็ดก็ยังสามารถรักษาสกอร์ไว้ได้แบบหืดขึ้นคอ โดยการเล่นที่สมกับคำว่า “ยักษ์ใหญ่” ที่คุ้นเคย
ก่อนการเจอกับเชลซี แมนฯ ยูไนเต็ดมีคะแนนเพียง 4 คะแนนจาก 4 นัดแรก ถือเป็นการเริ่มต้นที่เลวร้ายที่สุดในพรีเมียร์ลีกรอบ 33 ปี ซึ่งนำมาซึ่งแรงกดดันอย่างหนักให้กับทีมที่คุมโดยอาโมริม แต่ชัยชนะในเกมนี้ช่วยบรรเทาความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี
เจมี่ เร้ดแน็ปป์ นักวิเคราะห์ฟุตบอลชื่อดัง ได้กล่าวถึงความสำคัญของชัยชนะนี้ โดยระบุว่าเป็น "ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด" ของอาโมริมในบทบาทผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ดนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024
เร้ดแน็ปป์ยังได้กล่าวเสริมว่า "นี่คือผลงานที่ยอดเยี่ยมในฐานะโค้ชของแมนฯ ยูไนเต็ด แน่นอนว่าเกมในบ้านมันมีความหมายพิเศษ เมื่อต้องเผชิญกับความตึงเครียดหลังจากกาเซมีโร่โดนไล่ออก" เขายังชี้ว่าบรูโน่ แฟร์นันด์สเป็นผู้เล่นที่โดดเด่น โดยเฉพาะในครึ่งหลังของเกม ที่เขาสามารถพาแมนฯ ยูไนเต็ดกลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง
สำหรับอนาคตของแมนฯ ยูไนเต็ดในฤดูกาลนี้ไม่ได้ง่ายนัก แต่การชนะเชลซีได้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทีม อาโมริมจำเป็นต้องใช้ชัยชนะนี้เป็นจุดเปลี่ยน และไม่แค่หยุดอยู่แค่นี้ แต่ต้องสร้างผลงานชนะ 2, 3 หรือ 4 เกมติดต่อกัน เพื่อขยับอันดับในตารางพรีเมียร์ลีกรับได้
ในเกมนี้มีความปรับเปลี่ยนต่างๆ ทั้งการเปลี่ยนตัวผู้เล่นและแท็กติกที่เกิดขึ้นระหว่างการแข่งขัน ทำให้แฟนบอลรู้สึกสนุกสนานและลุ้นตลอดทั้งเกม โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นการพิสูจน์ถึงความไม่แน่นอนในฟุตบอลที่ทำให้ทุกโมเมนต์ลุ้นระทึก
แต่ท้ายที่สุดแล้ว แฟนๆ ก็ได้เห็นแมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาคว้าชัยได้อีกครั้ง และสร้างความหวังในอนาคตว่า พวกเขายังสามารถกลับมามีฟอร์มที่ดีในพรีเมียร์ลีกรอบนี้ได้อีก
