สำนักข่าว New York Times ได้เผยแพร่คอลัมน์ที่กล่าวถึงความสำเร็จของ “Elden Ring” วิดีโอเกมที่มาแรงแรงที่สุดในปีนี้จากการระบาดใหญ่ น่าเสียดายที่บทความนี้นั้นมองข้ามปัจจัยหลายๆอย่างไปจากตระกูลเกมที่รับประกันความสำเร็จเอาไว้ได้ในทุกๆปี
เนื้อหาจาก New York Times ได้นำเสนอว่าการที่เราต้องเข้าไปอยู่ในโลกแห่งเกมมากขึ้นนั้นมาจากการหลีกหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงที่ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาด ทั้งที่จริงๆแล้วทุกคนมีเสรีภาพในการเลือกเกมที่ดีพอและมีความน่าสนใจ และหลายๆคนก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เช่นกัน เพราะความสำเร็จของเกมเกิดได้ด้วยตัวผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่จากวิกฤตระดับโลกในตอนนี้
“Elden Ring” เป็นเกมภาคต่อของซีรีส์ Dark Souls จาก FromSoftware ที่ก่อนหน้านั้นเริ่มต้นด้วย “Demon's Souls” เกมเอ็กซ์คลูซีฟบน PlayStation 3 ในปี 2009 โดย New York Times อธิบายถึงซีรีส์ Dark Souls ว่าเป็น "ความสำเร็จเพียงเล็กน้อย" ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรหากพิจารณาจากยอดขายเพียงส่วนเดียว เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายในสามสัปดาห์แรกของ “Elden Ring” ที่ทำเอาไว้แล้วนั้นก็ทำได้มากกว่าครึ่งหนึ่งที่ซีรีส์ Dark Souls ทั้งหมดทำเอาไว้ได้อีก
แต่แนวความคิดนั้นไม่ได้มองถึงความจริงที่ว่า "Demon's Souls" และซีรีส์ Dark Souls นั้นได้ทิ้งกลิ่นอายและรากเหง้าที่ไม่สามารถลบออกไปจากภาพจำของชาวเกมได้เลย เกมทั้งหลายภายใต้ชื่อ FromSoftware ได้กลายเป็นแม่พิมพ์ของเกมที่เน้นการเอาชนะความท้าทายต่างๆอย่างเข้มข้น สร้างกฎและระบบเบื้องหลังที่ลึกลับของเกมเอาไว้อย่างมีมาตรฐาน และบางครั้งก็จะมาในรูปแบบของเกมออนไลน์ที่ต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆในการเอาชนะอุปสรรค
“Dark Souls” อาจประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยหากมองแต่ยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่พูดได้เต็มปากเลยว่ามันคือเกมที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดเกมหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ปัจจุบัน เกมดังกล่าวตกผลึกจนกลายเป็นประเภทย่อยของเกมทั้งหมดที่ปัจจุบันถูกขนานนามมันว่าเกมแนว Soul และมีหลายๆเกมที่เดินตามรอยเท้าของเกมแนวนี้ รวมไปถึงรูปแบบของการควบคุมที่ถูกนำไปจนประสบความสำเร็จอย่างมากมาย เช่น "God of War" และเกมทั้งสามภาคล่าสุดในซีรี่ส์ Assassin's Creed
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อปีที่แล้ว “Dark Souls” ได้รับรางวัล Golden Joystick สำหรับหมวดหมู่ “Ultimate Game of All Time” โดย Edge สำนักข่าวเกมดังจากยุโรปยังพูดได้เต็มปากว่ามันคือเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล และด้วยความสำเร็จทั้งหมดเหล่านี้ หากไม่ได้มองไปที่ยอดขายเพียงอย่างเดียวแล้ว การจะบอกว่ามันคือความสำเร็จ “เพียงเล็กน้อย” นั้นก็ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อยเลย
และเมื่อมาถึง Elden Ring มันจึงเป็นความท้าทายครั้งใหม่ที่ FromSoftware ต้องหาวิธีที่จะทำอย่างไรให้เกมในภาคใหม่ขายต่อได้โดยไม่กระทบต่อวิสัยทัศน์ดั้งเดิม รวมไปถึงการรักษาความสม่ำเสมอของคุณภาพเกมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
การพูดแบบปากต่อปากก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน เกมดังกล่าวได้รับการออกแบบมาจากพื้นฐานที่จะมีความลึกลับซ่อนอยู่มากมายในเกม FromSoftware จึงได้มีฟังก์ชันออนไลน์ที่ผู้เล่นจะได้เห็น "วิญญาณ" ของผู้เล่นคนอื่นที่กำลังทำอะไรบางอย่างตามจุดต่างๆก่อนหน้านี้ และเมื่อมีใครสักคนพบความลับนั้น ความอยากที่จะแบ่งปันประสบการณ์ให้ใครสักคนรับรู้ก็เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน
มีวิดีโอเกมเพลย์ของเกม Elden Ring เพิ่มมากขึ้นจากอินฟลูเอ็นเซอร์ทั้งบน YouTube, Twitch และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ และนั่นเป็นเพียงการเติมไฟให้กับเกมในซีรีส์เท่านั้น เพราะถ้าตราบเท่าที่ตัวเกมไม่ได้ถูกทำมาให้มีความหลากหลาย ไม่ได้สร้างความลับของเรื่องราวต่างๆเอาไว้มากมาย ก็ไม่มีทางเลยที่ผู้เล่นจะค้นพบสิ่งเหล่านั้นและนำมาแบ่งปันได้เช่นนี้
“Elden Ring” ขึ้นอันดับหนึ่งในรายการ “เกมที่มีคนรอคอยมากที่สุด” ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในปี 2021 จนถูกเลื่อนออกมาในปี 2022 นับตั้งแต่มีการประกาศเปิดตัว ซึ่งเท่าที่เล่ากันมาก็พอจะยืนยันได้ว่าความสำเร็จของ "Elden Ring" นั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป และไม่ได้มีผลมาจากการล็อกดาวน์ หรือโรคที่เกิดขึ้นจนระบาดใหญ่ไปทั่วโลกเลย
ความสำเร็จของ “Elden Ring” เกิดขึ้นได้จากวัตถุดิบชั้นดีที่ผ่านการหล่อหลอมมาเป็นเวลานาน ผู้พัฒนาได้ออกแบบและทำซ้ำจากสูตรที่ประสบความสำเร็จมาตลอดในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา และเมื่อทุกอย่างถูกนำมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ผลลัพธ์ที่ได้มาจึงเป็นอะไรที่ผู้เล่นเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ และ “Elden Ring” คือความสำเร็จ ชัยชนะ และอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในวงการเกมที่เกิดขึ้นได้การผู้สร้างและผู้ที่ได้เล่นมันนั่นเอง
ที่มา: WashingtonPost
