CASETiFY เป็นรายแรกที่ได้ทำการผลิตเคสโทรศัพท์คัสตอมได้เองโดยใช้ภาพถ่ายจาก Instagram นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 และนั่นคือสิ่งที่สร้างความน่าสนใจจนทำให้พวกเขานั้นประสบความสำเร็จได้แทบจะในทันที จนถึงตอนนี้แบรนด์ขายเคสสุดแฟชั่น CASETiFY ก็ได้กลายเป็นแบรนด์อุปกรณ์เสริมเทคโนโลยีที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอะไรคือสิ่งที่ช่วยให้ CASETiFY นั้นเติบโตมาอย่างยิ่งใหญ่จนถึงทุกวันนี้ได้บ้าง วันนี้มาลองดูกันครับ
1. ผลิตภัณฑ์มีตัวเลือกอย่างหลากหลาย
CASETiFY ขึ้นชื่อในเรื่องของเคสโทรศัพท์ พวกเขามีเคสโทรศัพท์สำหรับทั้ง iPhone และ Android ทุกรุ่นตั้งแต่ iPhone 7 และ Galaxy S20 เป็นต้นไป สำหรับผู้ใช้งานโทรศัพท์รุ่นที่เก่ากว่านั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ตัวเลือกของสินค้าทั่วไปจะมีน้อยลงไปหน่อย เนื่องจากผู้ใช้งานต่างก็ขยับอัพเกรดโทรศัพท์ไปเป็นรุ่นที่ดีกว่ากันอยู่เสมอ
แต่ทางเลือกของเคสโทรศัพท์จาก CASETiFY สำหรับโทรศัพท์รุ่นเก่าๆนั้นไม่น้อยเลย พวกเขายังมีตัวเลือกมากมายสำหรับโทรศัพท์ที่ถูกใช้งานมาแล้วหลายปี วิธีนี้เป็นการไม่กีดกันลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์รุ่นเก่าให้อยู่กับพวกเขาได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีเคสสำหรับ Airpods, iPads และ MacBooks อุปกรณ์เสริมและสินค้าไลฟ์สไตล์อื่นๆ ทำให้ CASETiFY ไม่ได้เป็นเพียงแค่ “แบรนด์เคสโทรศัพท์” แต่สามารถดึงดูดลูกค้าที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้เป็นอย่างดี
2. ทางเลือกที่สามารถปรับแต่งได้เอง
คุณสมบัติอีกอย่างของ CASETiFY ที่ช่วยให้พวกเขาแตกต่างไปจากคู่แข่งคือก็บริการคัสตอม หรือการปรับแต่งได้เอง แทบจะในทุกๆผลิตภัณฑ์ของพวกเขามักจะมีตัวเลือกให้ลูกค้าได้สามารถปรับแต่งสินค้าของตนเองได้แตกต่างกันไปตามรายการของเคสและอุปกรณ์
ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ ประเภทวัสดุ หรือสีของเคส รวมไปถึงการเพิ่มข้อความและภาพถ่ายเพิ่มเติม CASETiFY มีดีไซน์ที่ออกมาใหม่นับหลายพันแบบและออกมาใหม่อยู่เสมอ มีเคสหลายประเภทสำหรับแต่ละอุปกรณ์ ทั้งในแง่ประเภทของสีที่จะใส เงา หรือด้านบนเฉดและโทนสีที่หลากหลาย สำหรับข้อความที่ให้เพิ่มก็ยังสามารถที่จะเลือกเลย์เอาต์ ฟอนต์ และสีได้เช่นกัน
3. คุณภาพรับประกันจาก CASETiFY
สำหรับเคสส่วนใหญ่นั้นเราจะมองหาคุณภาพและระดับการป้องกันมาเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลือกเคส แม้หลายคนอาจจะมองว่าทาง CASETiFY นั้นสนใจแต่ความสวยงามแปลกใหม่ในผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันไม่ใช่เพียงแค่นั้นแน่นอน เพราะทาง CASETiFY ก็ได้ให้ความสำคัญกับการผลิตเคสและอุปกรณ์เสริมที่สามารถปกป้องอุปกรณ์ได้จริงด้วย
ทาง CASETiFY ระบุว่าสินค้าทุกชิ้นนั้นได้รับการทดสอบการตกกระแทกและรับประกันคุณภาพ ก่อนที่จะให้นักออกแบบได้วาดลวดลายกัน และเมื่อดูจากคุณสมบัติของเคสแล้ว ถือว่าตัวเคสนั้นเป็นระดับ Military-Grade หรือเกรดกองทัพแบบสองชั้น มีการยกด้านข้างรอบหน้าจอและเลนส์กล้องเพื่อสร้างกันชนที่พร้อมจะปกป้องหากอุปกรณ์ตกหล่นขึ้นมา
เคสจาก CASETiFY นั้นได้รับการทดสอบการตกกระแทกตามความสูงที่แตกต่างกันไป และความสูงเฉลี่ยที่สามารถป้องกันได้คือประมาณ 2 เมตร ซึ่งถือว่าเพียงพอตามการใช้งาน ความพิเศษของเคส CASETiFY คือเคสนั้นทำจากวัสดุ Qitech เครื่องหมายการค้าของ CASETiFY เป็นวัสดุที่สามารถกระจายและดูดซับแรงกระแทกได้ดีเพื่อปกป้องอุปกรณ์ ในหลายๆรีวิว เคสของ CASETiFY นั้นได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเคสที่มีความทนทานสูง ถึงแม้จะเพรียวบางกะทัดรัดก็ตาม
4. ความร่วมมือหรือคอลแลปจาก CASETiFY
ผลิตภัณฑ์จาก CASETiFY นั้นได้รับการออกแบบและมีคอลเลคชั่นของตนเอง แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่มาจากการทำงานร่วมกันกับองค์กรต่างๆ โดยในส่วนนี้คือ Co-Lab หรือศูนย์กลางความร่วมมือทั้งหมดที่ทาง CASETiFY มีให้กับแบรนด์ รายการทีวี ภาพยนตร์ และเหล่าคนดังต่างๆ อย่าง DHL, KFC, Vetements, Saint Laurent, SpongeBob, Squid Game, Disney, BTS และ Blackpink
เมื่อดูจากชื่อเหล่านี้แล้ว บางชื่อก็อาจดูไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกับแบรนด์เคสโทรศัพท์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่นั่นคือสิ่งที่ทำให้การคอลแลปนั้นเป็นเรื่องสนุกและคาดไม่ถึง หนึ่งในความร่วมมือครั้งล่าสุดของพวกเขาที่ทำออกมาได้ดีมากๆคือ Olivia Rodrigo นักร้อง-นักแต่งเพลงชาวอเมริกัน
โดยส่วนใหญ่แล้ว CASETiFY นั้นมักจะถ่ายทำผลิตภัณฑ์ให้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ แต่สำหรับครั้งนี้นั้น Olivia Rodrigo ได้ถ่ายทำด้วยเคสโทรศัพท์ของเจ้าตัวจริงๆ ซึ่งทาง Jillian Wheeler ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของ CASETiFY กล่าวว่ามันคือการถ่ายทำครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่ทางแบรนด์เคยทำมา และนั่นทำให้ CASETiFY เข้าถึงผู้ชมคนอื่นๆ ที่พวกเขาอาจไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยตัวเอง
5. การตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์ผ่านโซเชียลมีเดีย
ด้วยความที่เคสของ CASETiFY นั้นเป็นอะไรที่ดึงดูดสายตาได้ค่อนข้างมาก ผู้คนจึงมักที่โพสต์สิ่งเหล่านั้นลงบนโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นภาพเซลฟี่ตัวเองในกระจกหรือการบอกต่อผู้คนเกี่ยวกับ CASETiFY ซึ่งจริงๆ แล้วการเซลฟี่ในกระจกเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วบน Instagram ในขณะที่การแชร์ข้อมูลของ CASETiFY นั้นก็เป็นเรื่องปกติบน Tik Tok เช่นกัน
สำหรับเหล่าเซเลปคนดัง อินฟลูเอนเซอร์ และอีกหลายๆคน นั้นมักจะถ่ายเซลฟี่ในกระจกโดยมีการมองเห็นโทรศัพท์ได้อย่างชัดเจน และสำหรับ CASETiFY นั้น เคสโทรศัพท์มักจะมีชื่อแบรนด์เขียนเอาไว้รอบๆ กรอบเลนส์กล้อง ดังนั้นเมื่อมีคนโพสต์ภาพเซลฟี่ในกระจกที่มองเห็นเคสของ CASETiFY มันก็จะเป็นการช่วยโปรโมทแบรนด์ไปในทางอ้อมด้วย
ครั้งหนึ่ง Kylie Jenner นางแบบคนดังเคยได้ ได้ติดต่อไปยังแบรนด์เพื่อขอให้เธอได้ลองใช้เคสโทรศัพท์แบบกระจกของพวกเขา พวกเขาจึงส่งมันไป แต่มันไม่ใช่การสนับสนุนอย่างเป็นทางการ เนื่องจาก Kylie Jenner และทีมไม่รับประกันว่าพวกเขาจะโพสต์เนื้อหาของ Kylie ด้วยการใช้โทรศัพท์และเคสได้ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็ออกมาดีเอามากๆเลยทีเดียว
Kylie Jenner เป็น Influencer อันดับต้นๆ ที่มีคนเข้าถึงได้ทั่วโลก ดังนั้นหลังจากโพสต์รูปถ่ายของเธอออกไปก็มีคนเข้าถามว่าเคสโทรศัพท์นั้นมาจากไหน และเมื่อพบว่ามันคือ CASETiFY เคสโทรศัพท์แบบกระจกก็ได้กลายเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากจนเริ่มถูกเรียกว่าเคสโทรศัพท์ของ Kylie กันไปเลยทีเดียว ปัจจุบัน Instagram หลักของพวกเขา @CASETiFY มีผู้ติดตามถึง 2.6 ล้านคน
Tiktok
นอกจาก Instagram แล้ว เคสของ CASETiFY ยังได้รับความนิยมผ่านทาง Tik Tok เนื่องจากใครหลายๆคนมักจะอวดเคสโทรศัพท์ของตัวเองลงไปในวิดีโอทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ เพื่อให้ผู้คนรู้ว่าเคสของพวกเขานั้นมาจาก CASETiFY และ #CASETiFY ก็ถูกใช้และในปัจจุบันมีผู้ชมไปแล้วถึง 1 พันล้านครั้ง CASETiFY มีผลิตภัณฑ์เฉพาะที่ได้รับความนิยมในแอป นั่นคือเคส Photo Grid case ที่ตอนนี้ติดป้ายว่า “Tik Tok Case” เอาไว้บนเว็บไซต์ เป็นการยอมรับว่าความนิยมที่ได้นั้นมาจาก Tik Tok และ CASETiFY ก็มีบัญชีบนแพลตฟอร์มนี้เป็นของตัวเองซึ่งมีผู้ติดตาม 505.4k และอีก 3.1 ล้านไลค์
6. การตลาดเอาใจสังคมตามสถานการณ์
CASETiFY เป็นกระบอกเสียงในประเด็นต่างๆ ของโลก เพราะพวกเขาเชื่อในเรื่องของการยืนหยัด เพื่อความเชื่อส่วนบุคคลและแสดงการสนับสนุนสำหรับสิ่งใดๆ ที่ส่งผลต่อพวกเขาและชุมชนทั่วโลกอย่าง #CASETiFYProtects และ #CASETiFYSustainability ซึ่งการเคลื่อนไหวเช่นนี้นั้นมีประสิทธิภาพค่อนข้างมากครับ
#CASETiFYProtects
อย่างในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 CASETiFY นั้นต้องการแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย เพื่อให้สอดคล้องกับทางแบรนด์ พวกเขาได้เปิดตัว “UV Sanitizer” ที่ทำลายเชื้อโรคบนพื้นผิวของโทรศัพท์ และตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเมษายน 2020 รายได้ 100% จากการขายน้ำยาฆ่าเชื้อด้วยแสงยูวีจะส่งตรงไปยังกองทุนบรรเทาทุกข์ Coronavirus ของ GlobalGiving พวกเขายังได้แจกหน้ากากและผ้าเช็ดทำความสะอาดไปให้ฟรีในทุกคำสั่งซื้ออีกด้วย
นอกจากผลิตภัณฑ์แล้ว พวกเขายังบริจาคเงิน 100,000 ดอลลาร์ให้กับการบรรเทาโคโรนาไวรัสและหน้ากากผ้าให้กับมูลนิธิ Hemkunt และสภาสวัสดิการ Nishkam Sikh (NSWC) รวมไปถึงการร่วมบรรเทาทุกข์จากโควิด-19 ในประเทศอินเดีย
#CASETiFYSustainability
CASETiFY ได้ทำการแปรรูปพลาสติกเป็นจำนวนมากเพื่อใช้ในการผลิตเคส ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและพวกเขาตระหนักดีถึงเรื่องนี้ดี นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงได้ดำเนินการเพื่อให้มีความยั่งยืนเกิดขึ้นมากขึ้น และหนึ่งในสิ่งที่ได้ทำก็คือการสร้างเคสที่ย่อยสลายได้ โดยเคสเหล่านี้นั้นทำมาจากส่วนผสมของพอลิเมอร์ชีวภาพ แป้ง และไม้ไผ่ พวกมันจึงสามารถย่อยสลายได้และแตกตัวเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และแร่ธาตุอื่นๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติได้
เคสที่ย่อยสลายได้ของ CASETiFY กลายเป็นเคสโทรศัพท์คัสตอมที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ 100% เจ้าแรกของโลก นอกเหนือจากเคสที่ย่อยสลายได้แล้วก็ยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ Re/CASETiFY ที่มีส่วนประกอบเป็นเคสโทรศัพท์เก่า เศษวัสดุจากการผลิต และพลาสติกชีวภาพที่ได้จากพืช เคสเหล่านี้เรียกว่าเคส Crush เนื่องจากวัสดุทั้งหมดนำมาบดเข้าด้วยกันเพื่อสร้างใหม่ได้นั่นเองครับ
และทั้งหมดนี้ก็คือความลับที่ไม่ลับในความสำเร็จของ CASETiFY และสำหรับใครที่สนใจหรืออยากเป็นเจ้าของเคสสวยๆดีๆเจ้านี้ก็ลองไปหาเลือกกันได้ที่เว็บไซต์ของ CASETiFY ครับ
ที่มา: 440 Industries